เรียกอัตราดอกเบี้ยผิดนัดสินเชื่อได้ 28% ต่อปีตามสัญญา หากสัญญาเลิกกันโดยปริยายแล้วจะเรียกต่อไปไม่ได้
- allshoppingbykcyp
- 17 เม.ย. 2564
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 26 ส.ค. 2564
จำเลยขอบริการสินเชื่อจากธนาคารโจทก์เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2550 ต่อมาโจทก์อนุมัติให้จำเลยใช้บริการสินเชื่อในวงเงิน 120,000 บาทโดยโจทก์ออกบัตรกดเงินสดให้จำเลยใช้ในการเบิกถอนเงินสดตามความต้องการของจำเลยภายในวงเงินที่โจทก์กำหนด จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 22 ต่อปี หากผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 28 ต่อปี และต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ภายใน 15 วันนับแต่วันที่โจทก์ออกใบแจ้งยอดบัญชีส่งให้จำเลยในแต่ละเดือน จำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี และต้องเสียเบี้ยปรับในกรณีผิดนัดชำระหนี้ต่างๆ ตามที่โจทก์กำหนด จำเลยใช้บัตรถอนเงินจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2553 จำนวนหลายครั้ง และได้ชำระหนี้เพื่อทำการหักทอนเงินในบัญชีไปเพียงบางส่วน โดยปรากฏยอดหนี้ค้างชำระเพียง ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2553 เป็นเงินต้นจำนวน 110,500 บาท ดอกเบี้ยจำนวน 10,372.23 บาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จำนวน 25.68 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 120,898.01 บาท จากนั้นจำเลยไม่ได้เบิกถอนเงินสดและไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จึงถือว่าสัญญาสินเชื่อระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นอันเลิกกันโดยปริยาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเอาจากจำเลยตามข้อตกลงในสัญญาต่อไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยตามข้อตกลงนั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยปรับตามความหมายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 และมาตรา 381 วรรคหนึ่ง เพราะเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าจำเลยจะชดใช้แก่โจทก์เมื่อไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร ถ้าศาลเห็นว่าสูงเกินส่วนก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจลดลงได้ ตามมาตรา 383 เมื่อได้คำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีและทางได้เสียของโจทก์ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยในปัจจุบัน ศาลเห็นสมควรกำหนดให้โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเบี้ยปรับได้ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 120,898.81 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 110,525.68 บาทนับแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
อ้างถึง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4088/2560
ความคิดเห็น