ดอกเบี้ยที่คิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จะนำมาหักเงินต้นได้หรือไม่
- allshoppingbykcyp
- 7 พ.ย. 2564
- ยาว 1 นาที
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ 50,000 บาท มีกำหนดชำระหนี้ภายในวันที่ 20 มิถุนายน 2556 โดยนำรถจักรยานยนต์ ทะเบียน 1442 ชัยนาท ให้โจทก์ถือไว้เป็นประกัน ต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม 2556 จำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ระบุจำนวนเงินที่กู้ 400,000 บาท มีกำหนดชำระหนี้ภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2556 โดยหนังสือสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ ครั้นเมื่อหนี้ตามสัญญากู้ทั้งสองฉบับถึงกำหนดชำระ จำเลยก็มิได้ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 466,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 450,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 395,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 395,000 บาทนับตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้เงินแล้ว ย่อมถือได้ว่าจำเลยยอมรับตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ฉบับที่หนึ่งจำนวน 50,000 บาทแก่โจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเพียงใด ในข้อนี้โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และโจทก์ยังเบิกความด้วยว่า หลังจากทำหนังสือสัญญากู้เงินฉบับที่หนึ่งแล้ว จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เดือนละ 2,500 บาท เป็นเวลา 3 เดือน รวมเป็นเงิน 7,500 บาท ดอกเบี้ยที่จำเลยชำระไปดังกล่าว จึงเกิดจากการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่ายืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยย่อมตกเป็นโมฆะ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม)
การที่จำเลยยอมชำระหนี้ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้แก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 411 จำเลยหาอาจจะเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระได้ไม่ แต่ในข้อนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้เป็นฝ่ายเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้จากจำเลย เมื่อข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะแล้วและจำเลยไม่อาจเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายได้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย จึงต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ 7,500 บาท ไปหักเงินต้นตามหนังสือสัญญากู้ฉบับที่หนึ่ง คงเหลือหนี้เงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้เงินฉบับนี้ 42,500 บาท เมื่อหนังสือสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินและจำเลยมิได้ชำระหนี้ตามกำหนด จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามหนังสือสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันผิดนัด คือวันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน 442,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 42,500 บาทนับถัดจากวันที่ 20 มิถุนายน 2556 และของต้นเงิน 400,000 บาทนับถัดจากวันที่ 28 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5376/2560
Comentarios