พรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มีโทษจำคุกและปรับเท่าไร
- allshoppingbykcyp
- 23 ก.ค. 2564
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 27 ก.ค. 2564
พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (ก) ซึ่งเป็นกฎหมายเดิมที่ถูกยกเลิกแล้ว โดยมิได้มีคำขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) โดยไม่มีคำขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากกลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (6) หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 255 ถึงเดือนสิงหาคม 2557 จำเลยกระทำความผิดฐานให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ รวม 18 กระทง และมีคำขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ดังนี้ ในขณะกระทำความผิดการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเกินอัตรา พ.ศ.2475 แต่ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2560 ปรากฏว่ามีพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2560 บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 จึงต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยตามคำฟ้องของโจทก์ยังเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังดังกล่าวหรือไม่
พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (ก) บัญญัติว่า “ บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ท่านว่าบุคคลนั้นมีความผิดฐานเรียกเดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ”
ส่วนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า “ บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงิน โดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ”
จะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 บัญญัติให้การให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ยังคงเป็นความผิดเช่นเดิม เพียงแต่แก้ไขบทกำหนดโทษให้มีระวางโทษสูงขึ้นเท่านั้น กรณีมิใช่เป็นการยกเลิกการกระทำอันเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายเดิมไปเสียทีเดียว
ดังนี้ การกระทำของจำเลยในความผิดฐานให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ตามฟ้องยังคงถือเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังดังกล่าว ทั้งพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังมีระวางโทษสูงกว่าที่พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 กำหนดไว้ จึงไม่มีปัญหาให้ต้องพิจารณาปรับใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่คดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2
ดังนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด โดยมิได้อ้างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้องมาด้วย จึงถือได้ว่าเป็นการอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความผิดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากกลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
อ้างถึง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2139/2562
ความคิดเห็น