คดีอาญาข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรากว่าที่กฎหมายกำหนด มีอายุความฟ้องร้องกี่ปี
- allshoppingbykcyp
- 16 ส.ค. 2564
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 26 ส.ค. 2564
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 268, 83 และข้อหาร่วมกันให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ตามพระราชบัญญัติเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยที่ 1 มีความผิดร่วมกับพวกให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 และฐานร่วมกับพวกปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ความผิดฐานร่วมกันให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2541 นาย ก. กับจำเลยที่ 1 ร่วมกันให้โจทก์ร่วมกู้เงิน 40,000 บาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 6 ต่อเดือน และโจทก์ร่วมมอบบัตรเอ.ที.เอ็ม.ให้ไว้ นาย ก.ได้ใช้บัตร เอ.ที.เอ็ม.ของโจทก์ร่วมถอนเงินจากธนาคารชำระค่าดอกเบี้ยตลอดมาจนถึงวันที่ 23 กันยายน 2546
ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (ก) บัญญัติว่า “ บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ท่านว่าบุคคลนั้นมีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา.....” ดังนี้ ความผิดฐานให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด สาระสำคัญจึงอยู่ที่ผู้ให้กู้ให้กู้เงินโดยเรียกหรือคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด การกระทำผิดดังกล่าวจึงเกิดขึ้นและสำเร็จแล้วในทันทีที่จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันให้โจทก์ร่วมกู้เงิน โดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
ส่วนที่ นาย ก. พวกของจำเลยที่ 1 ใช้บัตรเอ.ที.เอ็ม.ของโจทก์ร่วมถอนเงินจากธนาคารชำระเป็นค่าดอกเบี้ยตลอดมาจนถึงวันที่ 23 กันยายน 2546 เป็นเพียงผลของการที่จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันให้โจทก์ร่วมกู้เงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ไม่ใช่เป็นความผิดต่อเนื่องตราบเท่าที่จำเลยที่ 1 กับพวกยังคงเรียกเก็บเงินค่าดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดจากโจทก์ร่วมแต่อย่างใด และความผิดฐานนี้มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎมายอาญา มาตรา 95(4)
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2541 จำเลยที่ 1กับพวกร่วมกันให้โจทก์ร่วมกู้เงิน โดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่อัตราที่กฎหมายกำหนด และเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2547 โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ จึงเกินกว่า 5 ปีนับแต่วันกระทำความผิด คดีจึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานนี้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18180/2556, 15866/2557
หมายเหตุ ตามคำพิพากษาฎีกาข้างต้นเป็นการวินิจฉัยอายุความฟ้องร้อง 5 ปีตามกฎหมายเดิม (พ.ศ.2475) แต่ปี 2560 ได้มีการแก้ไขกฎหมายใหม่ปรากฏตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2560 ซึ่งมาตรา 4 ได้กำหนดอัตราโทษ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อายุความฟ้องร้องจึง 7 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (3)
ความคิดเห็น